ค.ศ. 1994
ครอบครัวมิชชันนารีประเทศเกาหลีใต้ ชื่อ อ.สน และ อ.ฮา ได้เข้ามาทำพันธกิจในบริเวณเขตรังสิต โดยการแจกใบปลิว และอธิษฐานอย่างมาก เป้าหมายคือ ประกาศข่าวประเสริฐและก่อตั้งคริสตจักรในระแวกนี้ ซึ่งในช่วงเริ่มแรกท่านได้ใช้บ้านพักของท่านในการเริ่มนมัสการขณะนั้นยังไม่มีสมาชิก
ค.ศ. 1995
อ.สน และ อ.ฮา จึงได้ย้ายสถานที่ไปเช่าที่ใหม่ และตั้งสถานประกาศ เรียกว่า “ห้องประกาศธารพระคุณรังสิต” ซึ่งในปีนี้มีครอบครัวมิชชันนารีจากประเทศเกาหลีมาช่วยงานในการประกาศระยะสั้น คือ ครอบครัวของ อ.จูมัน คิม(Juman Kim) และ อ.กัญญา คิม (Kyeong Hwa Kim)
ในช่วงนั้น จะมีผู้มาร่วมนมัสการประมาณ 4-6 คน ต่อมา อ.สน และ อ.ฮา ต้องกลับไป เฟอร์โลว์ (Furlough) ดังนั้นองค์กร OMF จึงประสานงานได้ขอให้ อ.อุไร มีบุญสำเร็จ (Ulrike Schnurle) ซึ่งขณะนั้น ท่านทำงานอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ มาช่วยดูแลสถานประกาศแห่งนี้ต่อ ในปีนี้มีการให้บัพติศมาผู้เชื่อใหม่ เป็นครั้งแรก 2 คน ชื่อนางลำจวง กับ นางจอห์น
ในช่วงนั้น จะมีผู้มาร่วมนมัสการประมาณ 4-6 คน ต่อมา อ.สน และ อ.ฮา ต้องกลับไป เฟอร์โลว์ (Furlough) ดังนั้นองค์กร OMF จึงประสานงานได้ขอให้ อ.อุไร มีบุญสำเร็จ (Ulrike Schnurle) ซึ่งขณะนั้น ท่านทำงานอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ มาช่วยดูแลสถานประกาศแห่งนี้ต่อ ในปีนี้มีการให้บัพติศมาผู้เชื่อใหม่ เป็นครั้งแรก 2 คน ชื่อนางลำจวง กับ นางจอห์น
ค.ศ. 1997
ห้องประกาศแห่งนี้ได้เช่าตึกแถว 2 ห้อง พร้อมสวนเล็กๆ ในหมู่บ้านวังทอง ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ห้องประกาศบ้านสุขเกษม” ต่อมาในช่วงเดือน มิถุนายน ค.ศ. 1997 ได้มีทีมผู้รับใช้คนไทยมาช่วยงานเพิ่มเติมคือ อ.เชาวฤทธิ์ นวจองพันธ์ พร้อมกับภรรยา อ.ธัญญาพร นวจองพันธ์ มีผู้รับใช้อีกท่านหนึ่งมาจากนครสวรรค์เพื่อร่วมทีมคือคุณเรณา เนียมณรงค์ และ อ.มะลิ (Martina Brix) มาช่วยระยะสั้น
ต่อมา อ.จูมัน คิม ต้องไปศึกษาต่อที่ประเทศสิงค์โปร์ ในช่วงเดือนตุลาคม ค.ศ. 1997 มิชชันนารีจากประเทศมาเลเซียคือ อ.จันทร์จิรา หว่อง (Genevieve Wong) ได้มาช่วยงานแทน อ.มะลิ และในปีเอง ห้องประกาศแห่งนี้ ได้ขยายพันธกิจต่างๆ ออกไปมากขึ้น
ต่อมา อ.จูมัน คิม ต้องไปศึกษาต่อที่ประเทศสิงค์โปร์ ในช่วงเดือนตุลาคม ค.ศ. 1997 มิชชันนารีจากประเทศมาเลเซียคือ อ.จันทร์จิรา หว่อง (Genevieve Wong) ได้มาช่วยงานแทน อ.มะลิ และในปีเอง ห้องประกาศแห่งนี้ ได้ขยายพันธกิจต่างๆ ออกไปมากขึ้น
ค.ศ. 1998
ครอบครัวมิชชันนารีจากเกาหลี อ.โยชูวา คิม (Joshua Kim) และ อ.เกรซ คิม (Grace Kim) ได้มาช่วยงาน และทำงานกับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต
ในกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1998 ห้องประกาศบ้านสุขเกษม เริ่มมีสมาชิกประจำ 15 คน และมีผู้มาร่วมประชุมเป็นประจำทุกสัปดาห์ประมาณ 25-30 คน จึงได้ขอจดทะเบียน ขึ้นเป็นคริสตจักรภายใต้องค์คริสตจักรสัมพันธ์ในประเทศไทย ซึ่งได้รับรองการเป็นสมาชิก และได้จัดตั้งเป็น คริสตจักรบ้านสุขเกษมตามเอกสารจดทะเบียน ในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1998 อย่างเป็นทางการ
ในกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1998 ห้องประกาศบ้านสุขเกษม เริ่มมีสมาชิกประจำ 15 คน และมีผู้มาร่วมประชุมเป็นประจำทุกสัปดาห์ประมาณ 25-30 คน จึงได้ขอจดทะเบียน ขึ้นเป็นคริสตจักรภายใต้องค์คริสตจักรสัมพันธ์ในประเทศไทย ซึ่งได้รับรองการเป็นสมาชิก และได้จัดตั้งเป็น คริสตจักรบ้านสุขเกษมตามเอกสารจดทะเบียน ในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1998 อย่างเป็นทางการ
ค.ศ. 1999
อ.อุไร จำเป็นต้องคิดและวางแผนเรื่องการย้ายสถานที่ เนื่องจากเจ้าของห้องเช่า ต้องการจะขึ้นค่าเช่าเพิ่มมากขึ้นเกินกว่าที่คริสตจักรเห็นสมควรจะจ่าย ทำให้ต้องเช่าตึกใหม่ที่ใกล้ถนนพหลโยธินมากขึ้น พอดีกับที่ อ.เดวิด ชาง ต้องไปศึกษาต่อที่ประเทศสิงคโปร์
ค.ศ. 2000
เดือนพฤษภาคม คริสตจักรได้ย้ายมาอยู่ตึกใหม่ที่ไม่ไกลนักจากที่เดิม อาคารที่ย้ายมาอยู่ใหม่ เริ่มคับแคบเมื่อมีสมาชิกเพิ่มขึ้น และไม่สามารถรองรับกิจกรรมต่างๆได้ สมาชิกจึงเริ่มอธิษฐาน และวางแผน ระดมทุนในการสร้างคริสตจักรที่เป็นของตัวเอง
ต่อมาอ.อุไร ต้องไป เฟอร์โลว์ เป็นช่วงที่สมาชิกคริสตจักร เติบโตขึ้นมากแล้ว มีสมาชิกที่ถูกเสริมสร้างจนสามารถช่วยดูแลคริสตจักรเองได้ โดยมีครอบครัวสมาชิกที่ช่วยดูแลคริสตจักรในช่วงที่อ.อุไร ไม่อยู่ คือ คุณอิสยาห์ กับภรรยาคือคุณรุจิรา กุศุลนิมิต พร้อมกับนักศึกษาจากโรงเรียนพระคริสตธรรมกรุงเทพมาช่วยงานในช่วงเสาร์ – อาทิตย์
ต่อมาอ.อุไร ต้องไป เฟอร์โลว์ เป็นช่วงที่สมาชิกคริสตจักร เติบโตขึ้นมากแล้ว มีสมาชิกที่ถูกเสริมสร้างจนสามารถช่วยดูแลคริสตจักรเองได้ โดยมีครอบครัวสมาชิกที่ช่วยดูแลคริสตจักรในช่วงที่อ.อุไร ไม่อยู่ คือ คุณอิสยาห์ กับภรรยาคือคุณรุจิรา กุศุลนิมิต พร้อมกับนักศึกษาจากโรงเรียนพระคริสตธรรมกรุงเทพมาช่วยงานในช่วงเสาร์ – อาทิตย์
ค.ศ. 2001
เดือนมีนาคม อ.อุไร กลับมาจากเฟอร์โรว์ ส่วนคุณเรณา ได้ไปศึกษาต่อแบบเต็มเวลาในเดือน พฤษภาคม อ.จันทร์จิรา ต้องไป เฟอร์โรว์ ต่อมา อ.จูมัน คิม และ อ.กัญญา คิม กลับมาช่วยอีกครั้ง รวมทั้งมีมิชชันนารีที่มาระยะสั้นๆ หลายคนมาช่วยงาน เพื่อความต่อเนื่องของพันธกิจ
ค.ศ. 2002
เดือนกรกฎาคม ในที่สุดด้วยการจัดเตรียมของพระเจ้า คริสตจักรได้ซื้อที่ดินเปล่าสำเร็จซึ่งไม่ไกลจากที่เดิม เป็นที่ดินหัวมุมถนน เดิมเป็นที่ใช้ทิ้งขยะของหมู่บ้าน แต่ด้วยสายตาแห่งความเชื่อ สมาชิกคริสตจักรได้ระดมทุน โดยสมาชิกได้ช่วยกันทำการ์ดอวยพรเป็นจำนวนหลายพันแผ่น หัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการทำการ์ดอวยพรคือคุณจรัญญา พร้อมวงค์
ต่อมา อ.อุไร ได้ส่งการ์ดอวยพรนั้นไปขายในต่างประเทศ ส่วนใหญ่ส่งไปขายที่เยอรมัน เงินสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศ รองลงมาคือมาจากครอบครัวเพื่อนฝูงในประเทศไทยได้ช่วยกันถวาย และสมาชิกคริสตจักรร่วมใจกันถวายสุดกำลังความสามารถ ในที่สุดก็ได้งบประมาณพอกับการก่อสร้าง อ.อุไร ได้ขึ้นไปเชียงใหม่เพื่อติดต่อหาผู้ก่อสร้างคริสตจักร ศึกษาเรื่องแบบและการก่อสร้าง
เดือนกันยายน คริสตจักรได้เริ่มลงเสาเข็ม โดยพระคุณของพระเจ้าคริสตจักรไม่เป็นหนี้ ในการสร้างคริสตจักรหลังนี้ และสามารถจ่ายค่าก่อสร้างได้ทั้งหมดเมื่องานเสร็จสิ้น โดยอาคารหลังนี้จดทะเบียนภายใต้ มูลนิธิคริสตจักรสัมพันธ์ในประเทศไทย
ต่อมา อ.อุไร ได้ส่งการ์ดอวยพรนั้นไปขายในต่างประเทศ ส่วนใหญ่ส่งไปขายที่เยอรมัน เงินสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศ รองลงมาคือมาจากครอบครัวเพื่อนฝูงในประเทศไทยได้ช่วยกันถวาย และสมาชิกคริสตจักรร่วมใจกันถวายสุดกำลังความสามารถ ในที่สุดก็ได้งบประมาณพอกับการก่อสร้าง อ.อุไร ได้ขึ้นไปเชียงใหม่เพื่อติดต่อหาผู้ก่อสร้างคริสตจักร ศึกษาเรื่องแบบและการก่อสร้าง
เดือนกันยายน คริสตจักรได้เริ่มลงเสาเข็ม โดยพระคุณของพระเจ้าคริสตจักรไม่เป็นหนี้ ในการสร้างคริสตจักรหลังนี้ และสามารถจ่ายค่าก่อสร้างได้ทั้งหมดเมื่องานเสร็จสิ้น โดยอาคารหลังนี้จดทะเบียนภายใต้ มูลนิธิคริสตจักรสัมพันธ์ในประเทศไทย
ค.ศ. 2003
เดือนพฤษภาคม ในวันที่ 18 เริ่มเปิดใช้คริสตจักรเป็นครั้งแรก จำนวนผู้เข้ามาร่วมนมัสการเพิ่มขึ้นเป็น 80-120 คนต่อสัปดาห์ โดยในขณะนั้น คุณธีระ วีระยุทธ จากองค์กร YFC ได้เข้ามาช่วยสอนคริสเตียนศึกษาให้กับกลุ่มอนุชน ทำให้อนุชนมีความเชื่อเข็มแข็งมากขึ้น
ค.ศ. 2005
อ.อุไร ได้เห็นว่าหน้าที่ของท่านที่ได้เริ่มไว้สำเร็จเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เห็นควรจะส่งต่อให้ผู้รับใช้คนไทยเป็นผู้รับผิดชอบดูแล จึงได้มีการสรรหาศิษยาภิบาลคนแรกของคริสตจักร ซึ่งเป็นนักศึกษาจากโรงเรียนพระคริสตธรรมกรุงเทพ ที่เคยมาฝึกงานกับคริสตจักร คือ อ.เดชา กฤษณาไพร
ปีนี้เป็นปีที่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย อ.อุไร หมดหน้าที่ในประเทศไทยและต้องกลับไปประเทศเยอรมันแบบถาวร อ.จันทร์จิรา ต้องไปทำหน้าที่ดูแลมิชชันนารีใหม่ที่ศูนย์ OMF จังหวัดลพบุรี แต่ยังคงมาช่วยงานพันธกิจในช่วงเสาร์ -อาทิตย์ คุณเรณา เมื่อจบการศึกษาแล้วต้องไปดูแลคริสตจักร ที่นครสวรรค์ และคุณธีระ ต้องย้ายไปทำงานที่เชียงใหม่ ด้วยการจัดเตรียมของพระเจ้า YFC ได้ส่งคุณนริศรา พะจี มาได้ดูแลกลุ่มอนุชนแทน
ปีนี้เป็นปีที่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย อ.อุไร หมดหน้าที่ในประเทศไทยและต้องกลับไปประเทศเยอรมันแบบถาวร อ.จันทร์จิรา ต้องไปทำหน้าที่ดูแลมิชชันนารีใหม่ที่ศูนย์ OMF จังหวัดลพบุรี แต่ยังคงมาช่วยงานพันธกิจในช่วงเสาร์ -อาทิตย์ คุณเรณา เมื่อจบการศึกษาแล้วต้องไปดูแลคริสตจักร ที่นครสวรรค์ และคุณธีระ ต้องย้ายไปทำงานที่เชียงใหม่ ด้วยการจัดเตรียมของพระเจ้า YFC ได้ส่งคุณนริศรา พะจี มาได้ดูแลกลุ่มอนุชนแทน
ค.ศ. 2006
คริสตจักรเริ่มการบริหารงานภายใต้การนำของ อ.เดชา กฤษณาไพร และคณะกรรมการบริหารคริสตจักร ที่เลือกตั้งมาจากสมาชิก ดำรงตำแหน่งวาระละ 4 ปี การบริหารงบประมาณต่างๆ จะนำเข้าการประชุมเพื่อจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยมีเหรัญญิกดูแลเรื่องการเบิก-จ่ายบัญชีการเงิน มีสมาชิกช่วยกันดูแลในกลุ่มบุรุษ กลุ่มสตรี กลุ่มอนุชน กลุ่มระวีเด็ก ทุกคนพร้อมใจกันรับใช้อย่างดี
ค.ศ. 2011
อ.เดชา หลังจากรับใช้เป็นระยะเวลาประมาณ 5 ปี ก็ตัดสินใจลาออกจากการเป็น ศิษยาภิบาล ทำให้คณะกรรมการคริสตจักรและสมาชิกต้องช่วยกันดูแล และทำงานต่อไป ได้มีการเชิญอาจารย์นักเทศน์จากข้างนอกมาช่วยเทศนา ส่วนการสอนพระคัมภีร์เป็นหน้าที่ของผู้นำการเยี่ยมเยียนพี่น้องก็ทำโดยกลุ่มสมาชิกบุรุษและสตรี แต่พันธกิจงานสอนภาษาอังกฤษเริ่มลดน้อยลง
ในปีนี้เองเกิดวิกฤติการณ์อุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ แต่ไม่ได้ท่วมขึ้นไปบนอาคาร ท่วมเพียงที่ฐานของอาคาร มีสมาชิกหลายคนมาอยู่ที่โบสถ์ในช่วงน้ำท่วม
ในปีนี้เองเกิดวิกฤติการณ์อุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ แต่ไม่ได้ท่วมขึ้นไปบนอาคาร ท่วมเพียงที่ฐานของอาคาร มีสมาชิกหลายคนมาอยู่ที่โบสถ์ในช่วงน้ำท่วม
ค.ศ. 2012-2015
คริสตจักรไม่มีศิษยาภิบาลเต็มเวลา แต่มีกลุ่มคณะกรรมการบริหารอยู่ดูแลบริหารงานต่อไป สมาชิกได้ร่วมกันรับใช้ แต่ก็มีสมาชิกบางครอบครัวย้ายเข้า-ย้ายออก โดยไม่ได้มีการติดตาม เนื่องจากขาดบุคลากร สมาชิกก็สาละวนอยู่กับการทางาน หาเลี้ยงชีพ
ค.ศ. 2016
กลุ่มผู้นำได้ประชุมกัน มีผลสรุปว่าให้ขอเชิญ อ.เชาวฤทธิ์ นวจองพันธุ์ ให้กลับมาช่วยดูแล สอนพระคัมภีร์ และให้สร้างผู้นา รวมทั้งเป็นศิษยาภิบาลอีกครั้ง ในช่วงนี้สมาชิกได้เพิ่มจำนวนขึ้นประมาณ 80-120 คน มากจนต้องเพิ่มเก้าอี้ในวันอาทิตย์ แต่เนื่องจากท่านต้องดูแลงานหลายทางรวมทั้ง มูลนิธิบ้านนกขมิ้นด้วย จึงไม่ได้เน้นพันธกิจในการประกาศลงพื้นที่ชุมชน จึงเป็นหน้าที่ของอนุชน ที่ต้องก้าวออกไปรับใช้
ค.ศ. 2019
อ.เชาวฤทธิ์ ลาออกจากการเป็นศิษยาภิบาล
ค.ศ. 2020
คริสตจักรไม่มีศิษยาภิบาล แต่มีกลุ่มผู้นำ ดูแลบริหารงาน ได้แก่ อ. จันทร์จิรา คุณนริศรา คุณอิสยาห์ – คุณรุจิรา และมีนักศึกษาจากโรงเรียนพระคริสตธรรมกรุงเทพมาช่วยงานในช่วงวันเสาร์ - อาทิตย์ มีสมาชิกที่ยินดีร่วมรับใช้ จากวันที่คริสตจักรเริ่มต้น จากวิกฤติการณ์การขาดศิษยาภิบาล ทำให้จำนวนสมาชิกเหลืออยู่เพียง 70-80 คน
ค.ศ. 2021
ตั้งแต่ปลายปี 2019 จนถึงต้นปี ค.ศ. 2020 เริ่มมีโรคไวรัสระบาด Covid 19 การระบาดยิ่งลุกลามไปทั่วโลก ปัจจุบันสมาชิกมีประมาณ 40-50 คน ที่ยังมานมัสการเมื่อเปิดให้สมาชิกสามารถมานมัสการได้
แต่เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดร้ายแรงขึ้น จึงทำให้เกิด Social distancing หรือการเว้นระยะห่างทางสังคม ทำให้การมานมัสการที่คริสตจักรเป็นเรื่องต้องห้าม กิจกรรมทางศาสนาทุกอย่างงดโดยสิ้นเชิง การทำพันธกิจแบบลงพื้นที่ก็จำเป็นต้องงด เช่น การเยี่ยมเยียนสมาชิก การลงพื้นที่ชุมชน แต่กลุ่มผู้นำได้มีการนมัสการออนไลน์ อธิษฐานออนไลน์ ถวายทรัพย์ออนไลน์
แต่เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดร้ายแรงขึ้น จึงทำให้เกิด Social distancing หรือการเว้นระยะห่างทางสังคม ทำให้การมานมัสการที่คริสตจักรเป็นเรื่องต้องห้าม กิจกรรมทางศาสนาทุกอย่างงดโดยสิ้นเชิง การทำพันธกิจแบบลงพื้นที่ก็จำเป็นต้องงด เช่น การเยี่ยมเยียนสมาชิก การลงพื้นที่ชุมชน แต่กลุ่มผู้นำได้มีการนมัสการออนไลน์ อธิษฐานออนไลน์ ถวายทรัพย์ออนไลน์